เพลงโบราณคดี

ระบำศรีวิชัย



ระบำศรีวิชัยเป็นระบำชุดที่ ๒ ของระบำโบราณคดีซึ่งมีทั้งหมดด้วยกันรวม ๕ ชุด โดยความคิดริเริ่มของนายธนิต อยู่โพธิ์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ มีนางลมุล ยมะคุปต์ ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ วิทยาลัยนาฏศิลป กรมศิลปากร และนางเฉลย ศุขะวนิช ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ วิทยาลัยนาฏศิลป กรมศิลปากร และศิลปินแห่งชาติ เป็นผู้ประดิษฐ์ท่ารำ โดยอาศัยท่าทางของนาฏศิลป์ชวามาผสมผสานเข้าด้วยกัน และมีนายมนตรี ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญด้านดุริยางค์ไทย กรมศิลปากรและศิลปินแห่งชาติ เป็นผู้ประดิษฐ์ทำนองเพลง

จากหลักฐาน ซึ่งนักปราชญ์ทางโบราณคดีส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าสมัยศรีวิชัยอยู่ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๓–๑๘ มีอาณาเขตตั้งแต่ตอนใต้ของประเทศไทย ลงไปจรดดินแดนมาเลเซียและอินโดนีเซียบางส่วนในปัจจุบัน

การสร้างสรรค์ระบำชุดนี้อาศัยการสอบหลักฐานจากศิลปกรรมภาพจำหลักที่พระสถูปโรพุทโธในเกาะชวา ซึ่งเชื่อว่าอยู่ในสมัยราชวงศ์ไศเลนทร รวมกับศิลปะวัตถุสมัยศรีวิชัยและศิลปกรรมอื่น ๆ ประกอบกัน ส่วนทำนองเพลงก็แต่งให้ใกล้ไปทางสำเนียงชวา

เครื่องดนตรีซึ่งใช้บรรเลงเพลงชุดศรีวิชัย ประกอบด้วย กระจับปี่ ๓ ตัว ซอสามสาย ขลุ่ยเพียงออ ตะโพน กลองแขก ฉิ่ง ฉาบเล็ก และกรับ
นายสนิท ดิษฐ์พันธ์ เป็นผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ตามหลักฐานศิลปกรรมภาพจำหลักที่พระสถูปบุโรพุทโธ ในเกาะชวา




ระบำเชียงแสน



เป็นระบำโบราณคดีที่สร้างขึ้นตามแบบศิลปะและโบราณสถานสมัยเชียงแสน และได้แพร่หลายไปทั่วดินแดนภาคเหนือของไทย ซึ่งในสมัยโบราณเรียกว่า "อาณาจักรล้านนา" และต่อมามีนครเชียงใหม่เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรนั้น ศิลปะแบบเชียงแสนได้แพร่หลายลงมาตามลุ่มแม่น้ำโขง เข้าไปในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ที่เรียกว่า "ลานช้าง" หรือ "กรุงศรีสัตนาคนหุต" แล้วแพร่หลายเข้ามาในประเทศไทยทางจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนด้วย

โดยเหตุนี้ระบำเชียงแสน ตลอดจนดนตรีที่สร้างจังหวะของระบำชุดนี้ จึงมีลีลาและสำเนียงพื้นเมืองเป็นไทยชาวเหนือแบบพื้นเมือง คละเคล้าระคนไปด้วยลีลาและสำเนียงพื้นเมืองของชาวไทยทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือปะปนอยู่ด้วย